Immune systen(ระบบภูมิคุ้มกัน)
Transfer Factor ช่วย ระบบภูมิคุ้มกัน อย่างไร
ความสามารถในการเพิ่ม NK CELL ของTransfer Factor
ความสามารถในการเพิ่ม IgA (Immunoglobulin A)ระบบป้องกันโรค ของ Transfer Factor
ขอรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่
จินตนา T.086-4624228
สแกนบาร์โค๊ด เพื่อเพิ่มเพื่อนไลลน์
คลิ๊ก ดูข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้ที่นี่
ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง คือเกาะป้องกันโรคร้ายจากภายใน
โรคเอดส์ คืออะไร
โรคเอดส์ หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง AIDS( Acquired Immune Deficiency Syndrome)
เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเซียนซีไวรัส (Human
Immunodeficiency Virus :HIV) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า เชื้อ HIV โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าไป
ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันต่ำ ลง จนร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้อีก โรคต่าง ๆ (หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า โรค
ฉวยโอกาส) จึงเข้ามาซ้ำเติมได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในระบบโลหิต เชื้อรา
และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
ซึ่งแพร่ระบาดในแถบสหรัฐอเมริกา ยุโรป และแอฟริกากลาง, เอชไอวี-2 (HIV-2) พบแพร่
ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก นอกจากนี้ยังพบสายพันธุ์อื่น ๆ ที่กลายพันธุ์มาอีกมากมาย
โรคเอดส์ ติดต่อได้อย่างไร
หญิง หรือชายกับหญิง จะเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม ล้วนมีโอกาสเสี่ยง
ต่อการติดโรคเอดส์ทั้งนั้น ซึ่งมีข้อมูลจากกองระบาดวิทยาระบุว่า ร้อยละ 83 ของผู้ติดเชื้อ
เอดส์ รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ รับการบริจาคมา จะถูกนำไปตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อน จึงมีความปลอดภัยเกือบ 100%
ตั้งครรภ์ ขณะคลอด และภายหลังคลอด ปัจจุบันมีวิธีป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูก
โดยการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะสามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์
เหลือเพียง8%แต่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ วิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงาน
การใช้ของมีคมร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ทำความสะอาด, การเจาะหูโดยการใช้เข็ม
เจาะหูร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์, การสักผิวหนัง หรือสักคิ้ว เป็นต้น ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นการ
ติดต่อโดยการสัมผัสกับเลือด หรือน้ำเหลืองโดยตรง แต่โอกาสติดโรคเอดส์ด้วยวิธีนี้ต้อง
มีแผลเปิด และปริมาณเลือดหรือน้ำเหลืองที่เข้าไปในร่างกายต้องมีจำนวนมาก
ขึ้นไปด้วย โดยเชื้อเอดส์ จะพบมากที่สุดในเลือด รองลงมาคือ น้ำอสุจิ และน้ำในช่องคลอด
จำนวนมาก จึงรับเชื้อเอดส์ได้ง่าย และเป็นหนทางให้เชื้อเอดส์เข้าสู่แผลได้เร็วขึ้น
ที่จะรับเชื้อได้ง่ายขึ้น
ระยะต่างๆของผู้ติดเชื้อ HIV
โรคเอดส์ มีกี่ระยะ
เมื่อติดเชื้อเอดส์แล้ว จะแบ่งช่วงอาการออกเป็น 3 ระยะ
1. ระยะไม่ปรากฎอาการ (Asymptomatic stage) หรือระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ใน
ระยะนี้ผู้ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ ออกมา จึงดูเหมือนคนมีสุขภาพแข็งแรง
เหมือนคนปกติ แต่อาจจะเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ จากระยะแรกเข้าสู่ระยะต่อไปโดยเฉลี่ยใช้
เวลาประมาณ 7-8 ปี แต่บางคนอาจไม่มีอาการนานถึง 10 ปี จึงทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่
เชื้อต่อไปให้กับบุคคลอื่นได้ เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ
2. ระยะมีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ (Aids Related Complex หรือ ARC) หรือระยะเริ่ม
ปรากฏอาการ (Symptomatic HIV Infection) ในระยะนี้จะตรวจพบผลเลือดบวก และมี
อาการผิดปกติเกิดขึ้นให้เห็น เช่น ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่งติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน, มี
เชื้อราในปากบริเวณกระพุ้งแก้ม และเพดานปาก, เป็นงูสวัด หรือแผลเริมชนิดลุกลาม และ
มีอาการเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน โดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น มีไข้ ท้องเสีย ผิวหนังอักเสบ น้ำ
หนักลด เป็นต้น ระยะนี้อาจเป็นอยู่นานเป็นปีก่อนจะกลายเป็นเอดส์ระยะเต็มขั้นต่อไป
3. ระยะเอดส์เต็มขั้น (Full Blown AIDS) หรือ ระยะโรคเอดส์ ในระยะนี้ภูมิคุ้มกันของ
ร่างกายจะถูกทำลายลงไปมาก ทำให้เป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย หรือที่เรียกว่า "โรคติดเชื้อฉวย
โอกาส" ซึ่งมีหลายชนิด แล้วแต่ว่าจะติดเชื้อชนิดใด และเกิดที่ส่วนใดของร่างกาย หากเป็น
วัณโรคที่ปอด จะมีอาการไข้เรื้อรัง ไอเป็นเลือด ถ้าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อ
Cryptococcus จะมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง คอแข็ง คลื่นไส้อาเจียน หากเป็นโรค
เอดส์ของระบบประสาทก็จะมีอาการความจำเสื่อม ซึมเศร้า แขนขาอ่อนแรง เป็นต้น ส่วน
ใหญ่เมื่อผู้เป็นเอดส์เข้าสู่ระยะสุดท้ายนี้แล้วโดยทั่วไปจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 1-2 ปี
ผู้ที่ควรตรวจหาเชื้อเอดส์
- ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง และต้องการรู้ว่าตนเองติดเชื้อเอดส์หรือไม่
- ผู้ที่ตัดสินใจจะมีคู่หรืออยู่กินฉันสามีภรรยา
- ผู้ที่สงสัยว่าคู่นอนของตนจะมีพฤติกรรมเสี่ยง
- ผู้ที่คิดจะตั้งครรภ์ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และลูก
- ผู้ที่ต้องการข้อมูลสนับสนุนเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพของร่างกาย เช่น ผู้ที่ต้องการ
ไปทำงานในต่างประเทศ (บางประเทศ)
หากสงสัยว่า รับเชื้อเอดส์มา ไม่ควรไปตรวจเลือดทันที เพราะเลือดจะยังไม่แสดงผลเป็
บวก ควรตรวจภายหลังจากสัมผัสเชื้อแล้ว 4 สัปดาห์ขึ้นไป จึงจะได้ผลที่แม่นยำ
บริการตรวจ HIV ฟรี และ ให้คำปรึกษาฟรี ในกลุ่มชายรักชาย ที่มีความเสี่ยง
(โดยองค์กรเอกชนฟรี)
สิ่งที่ควรปฏิบัติหากได้รับเชื้อเอดส์
ผู้ที่เป็นโรคเอดส์ สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ และควรดูแลสุขภาพให้ดี ไม่ควรวิตก
กังวล เพราะหากไม่มีโรคแทรกซ้อนจะสามารถมีชีวิตยืนยาวไปได้อีกหลายปี
มีข้อปฏิบัติคือ
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
2. รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หรือหากมีเพศสัมพันธ์ ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อ
ป้องกันการรับเชื้อ หรือแพร่เชื้อเอดส์
4. งดการบริจาคเลือด อวัยวะ และงดใช้สิ่งเสพติดทุกชนิด
5. หากเป็นหญิง ไม่ควรตั้งครรภ์ เพราะเชื้อเอดส์สามารถถ่ายทอดสู่ลูกได้ถึง 30%
6. ทำจิตใจให้สงบ ไม่เครียด ไม่กังวล รวมทั้งอาจฝึกสมาธิ
7. อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
8.งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
9.งดการสูบบุหรี่
10.งดการรับประทานของดิบของดองและของที่ไม่สะอาด
ความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์
จากข้อมูลทางการแพทย์ระบุชัดว่า เชื้อเอชไอวีไม่สามารถแพร่สู่กันได้โดยการติดต่อใน
ชีวิตประจำวันกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และไม่สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางการกอด การสัมผัส
มือที่เป็นการทักทายแบบชาวตะวันตก หรือการปฏิสัมพันธ์ภายนอกอื่น เช่น การใช้ห้องน้ำ
ร่วมกัน การใช้เตียงนอนร่วมกัน การใช้อุปกรณ์รับประทานอาหารหรือรถแท็กซี่ร่วมกัน
นอกจากนี้ เอชไอวีไม่ใช่โรคติดต่อทางอากาศเหมือนกับไข้หวัด และไม่ติดต่อผ่านทาง
แมลง หรือ ยุง โดยทั่วไปแล้วเชื้อเอชไอวีติดต่อกันผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่
ปลอดภัย มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีติดจากการ
มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน การแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกาย เช่น อสุจิ เลือด หรือ
ของเหลวในช่องคลอด นอกจากนี้เชื้อเอชไอวียังสามารถติดต่อผ่านทางการใช้เข็ม หรือ
อุปกรณ์ฉีดยาร่วมกันของผู้ใช้ยาเสพติด ขณะที่ผู้หญิงตั้งครรภ์สามารถแพร่เชื้อไปสู่ลูกได้
ในระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอดและการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ต้องการ
ผู้ติดเชื้อ HIV หรือ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง สามารถขอคำปรึกษา
วิธีการดูแลสุขภาพและ ปฎิบัติตัว การดูแลตัวเอง
และ การใช้ Transfer Factor ในการดูแลสุขภาพ
ใช้ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้นกันให้สูงขึ้น และเพิ่ม CD4 ให้สูงขึ้น
ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อฉวยโอกาส และลดผลข้างเคียงของยาต้าน
ได้รับการรับรองทางการแพทย์ในระดับสากุล
ได้รับการบรรจุให้อยู่ในหนังสือ PDR
หนังสือ PDR คือหนังสืออ้างอิงแพทย์ ที่แพทย์ใช้ในการค้นหาและแนะนำยา หรืออาหารเสริม
เป็นสารธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี
เป็นผลิตภัณฑ์ จากประเทศอเมริกา ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ใน รพ.ประเทศรัสเซียได้
Transfer Factor
เป็นสารสกัดธรรมชาติ 100% ไม่มีผลข้างเคียง , ช่วยเพิ่ม CD4 ต่อต้าน HIV
ทานคู่ยาต้านไวรัสได้ ช่วยลดผลข้างเคียงยาต้าน ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน เมื่อมี CD4 เพียงพอ ก็ สามารถต้านเชื้อโรค อื่นๆได้
ทรานสเฟอร์ แฟคเตอร์ เป็น นวัตกรรม ที่มีผลงานวิจัยรองรับ
Transfer Factor เหมาะกับใคร
ผู้ที่มีความเสี่ยง หรือ คิดว่าตัวเองติดเชื้อ HIV แต่ยังไม่ไปตรวจ
ผู้ที่พึ่งได้รับเชื้อ HIV และยังไม่ได้รับยาต้านไวรัส HIV
ผู้ติดเชื้อ HIV ที่ได้รับยาต้านแล้ว
ผู้ที่ได้รับผลข้างเคียงจาก ยาต้านไวรัส และมีโรคแทรกซ้อนต่างๆ
สอบถามและขอรายละเอียดข้อมูล เกี่ยวกับ Transfer Factor
ได้ที่ T.086-4624228
แบ่งปันประสบการณ์ของผู้ที่ใช้ ทรานสเฟอร์แฟกเตอร์
ในการการดูแลสุขภาพ และช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และ ช่วยเพิ่ม CD4
และมีผลทำให้จำนวนไวรอลโหลด หรือจำนวนไวรัสลดลง
ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ผิวพรรณดูสดใสขึ้น ช่วยอาการ เป็นตุ่มหรือผื่นดำ
และทำให้ผู้ติดเชื้อ สามารถใช้ชีวิต อยู่ในสังคมกับคนทั่วไปได้ ตามปกติ
ใช้ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ จากที่อาการทรุดลงมาก
ปัจุบันร่างกายแข็งแรงปกติ และสามารถไปทำงานได้ตามปกติแล้ว (ผลลัพธ์การใช้ อาจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคลคน)
ใช้ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ แล้วทำให้มี ระดับ CD4 สูงขึ้น (ผลลัพธ์ของแต่ละคนอาจะมีความแตกต่างกัน)
ใช้ Transfer Factor ทำให้มีน้ำหนัก ที่เพิ่มขึ้น และแข็งแรงขึ้น (ผลลัพธ์ของแต่ละคนอาจะแตกต่างกันไป)
.ใช้ Transfer Factor แล้วทำให้ อาการตุ่มคันที่พุพองลดลง
(ผลลัพธ์การใช้ ของแต่ละคนอาจะแตกต่างกัน)
ดูรายละเอียดข้อมูลผลิตภัณฑ์และสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ คลิ๊กที่นี่
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับ Transfer Factor สำหรับผู้ติดเชื้อ ได้ที่
สแกนบาร์โค๊ดเพื่อเพิ่มเพื่อนไลน์
คลิ๊ก Add Friend เพื่อเพิ่มเพื่อนไลน์
ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ (Transfer Factor)คืออะไร
งานวิจัยและข้อยืนยันของแพทย์ เกี่ยวกับ Transfer Factor
ข้อแนะนำการใช้ สำหรับ ผู้ป่วย HIV
การใช้ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ สำหรับโรคต่างๆ
แนะการใช้ และ สรรพคุณ ส่วนประกอบ ของ Transfer Factor สำหรับ โรคติดเชื้อต่างๆ เช่น ภูมิคุ้มกันบกพร่อง มะเร็ง และอื่นๆ
แนะนำการใช้ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ สำหรับโรคติดเชื้อต่างๆ
งานวิจัยการค้นพบ Transfer Factor
ความปลอดภัยในการใช้ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ (Transfer factor)
|
|
|
|
|
|
|
|
|